หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

P 02

    เสียงหวูดดังกึกก้องในหมู่บ้าน ความโกลาหลเกิดขึ้นทุกหลแห่ง ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด บ้างก็วิ่งไปหลบที่หลุมหลบภัย บ้างก็วิ่งหนีไปยังที่ปลอดภัยของหมู่บ้าน
    ผมหลบซ่อนอยู่ในหลุมหลบภัยของบ้าน กำลังนั่งหลบอยู่ในถังใบที่อับชื้น พวกผู้ใหญ่นั่นอยู่ด้านนอก พวกเด็กๆต่างก็หลบอยู่ในถังใบอื่น ผมมองไม่เห็นอะไรเลย มันมืดไปหมด มืดเสียจนรู้สึกอึดอัด ผมได้ยินแค่เสียงหวูดที่ส่งเสียงเตือนยังคงดังกึกก้องอยู่ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไร อะไรออกมา
    และเสียงหวูดที่ดังก็ดับหายไป พร้อมกับเสียงของบางอย่างล้มลงมาดังโครม และเสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ถาโถมมา มันมีทั้งฝีเท้าของคนและสัตว์
    เสียงกรีดร้องดังระงม ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกรู้เพียงแต่ว่า อย่าให้ประตูของหลุมหลบภัยถูกเปิดเลย
    และดูเหมือนพระเจ้าจะเป็นใจ เสียงกรีดร้องได้เงียบหายไปแต่ว่าก็ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาต่อเลย ผมนั่งเงียบอยู่ในถังไม้นั่นพร้อมกับเงี่ยหูฟัง
    แต่ว่ามันเงียบสงัดไปหมด ราวกับว่าสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง
    แต่ว่าผมก็ยังไม่ออกไป เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง
    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ และผมก็ไม่กล้าคะเนเวลาด้วยเพราะมันอาจจะยิ่งทำให้ผมอึดอัดยิ่งขึ้น
    ผมทำได้แค่นึกอะไรเล่นไปเรื่อยๆ จนผมก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
    กุบ กับ กุบ กับ
    เสียงฝีเท้าของม้าดังก้องอยู่ในประสาทการได้ยิน และถังก็สั่นโครงไปมาด้วย นี่ผมถูกพาไปที่ไหนกันเนี่ย
    ไม่นาน ผมก็รู้สึกว่าถังที่ผมอยู่นั้นถูกยก และถูกวางลงใหม่ในไม่นาน
    เสียงปิดประตูดังกึกก้องอญู่ไม่นานก็เฟดหายไป
    ผมดันฝาถังเพื่อที่จะสังเกตภายนอก ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องๆหนึ่งที่ขนาดไม่ใหญ่มาก
    ผมค่อยๆออกจากถังอย่างระมัดระวัง
    ผมออกมาได้สำเร็จหลังขากที่พยายามอยู่นาน ผมสังเกตรอบๆตัวก็พบว่ามันเป็นห้องเก็บของ แต่ว่าประตูมันเปิดไม่ได้
    ผมคงต้องรอให้มีคนมาเปิดอีกรอบสินะถึงจะได้ออก
    ผมคิดได้ก็เดินดูให้ทั่วห้องเก็บของนั่น ของที่เก็บในห้องนี้ก็เป็นพวกเครื่องมือต่างๆ
    แกร่ก
    เสียเหมือนกลอนที่ลงไว้ด้านนอกถูกปลด และโชคดีที่ผมอยู่ในกับถังไม้ถังนั้น
    ผมกลัเข้าไปหลบออกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้ปิดสนิทแต่เปิดแง้มๆไว้เพื่อดูว่าคนที่เข้ามาอันตรายหรือไม่
    แต่ว่าคนที่เข้ามานั้นกลับเป็นเพียง ชายวัยกลางคน กับ เด็กสาวที่น่าจะวัยเดียวกับผม ทั้งคู่พูดคุยด้วยภาษาที่ผมฟังไม่ออก
    และไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ย ผมคิดว่า เด็กสาวนั้นกำลังจ้องมองมาทางผม ดวงตาสีฟ้าอ่อนกับผมลอนสีเกาลัดที่ยาวถึงกลางหลังของเธอนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าเธอนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่มีชีวิต
    ผมตกตะลึงในความงามของเธอแต่ว่าก็ต้องหลบไปเข้าไปในถังอีกครั้งเพราะทั้งคู่นั้นเดินเข้ามาใกล้ๆตรงที่ผมอยู่
    หลังจากผ่านไปสักพักก็เหมือนมีเสียงยกของบางอย่างออกไป ไม่มีเสียงพูดคุยในนี้ และ เสียงปิดประตู
    มีความเป็นไปได้ว่า ยังคงมีคนอยู่ในนี้ หรือไม่ก็ ไม่มี
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    เสียงเคาะถังไม้ดังก้องอยู่ในนั้น มันเหมือนกำลังคนเคาะประตูบ้าน ฝาถังถูกเปิดออกพร้อมกับ เด็กสาวทีผมเห็นเมื่อครู่ก็ยื่นหน้าเข้ามามอง เธอพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ และกวักมือให้ผมออกมา
    ผมคิดว่านะ
    ผมจึงลุกขึ้นและปืนออกมาจากถังไม้นั่น ส่วนสูงผมกับเธอแทบไม่ต่างกันเลยสักนิด
    เธอสวมใส่ชุดกระโปรงสีน้ำตาล และมีรองเท้าบู๊ทที่น่าจะทำมาจากหนังสัตว์สวมอยู่ โดยรวมแล้วจัดว่าเป็นการรวมตัวที่เข้าท่ามากเลยทีเดียว
    แต่ว่าปัญหาคือผมไม่รู้ความหมายที่เธอพูดออกมา กำลังพูดอะไรอยู่บ้าง
    ผมไม่รู้จะสื่อสารยังไงก็เอาภาษาท่าทางก่อนแล้วกัน
    ผมชี้ไปที่หูตัวเองเพื่อสื่อถึงการฟัง และโบกมือ เด้กสาวเหมือนจะทำหน้าเข้าใจอะไรบางอย่าง และทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอชี้ที่ตัวเองและพูดว่า
    ลาทีชา
    ผมออกเสียงตามอย่างยากลำบาก
    ลา ทีน ซา?
    เธอส่ายหน้าและพูดซ้ำช้าๆว่า
    ลา ที ชา
    ลา ที ชา
    เธอพยักหน้าตอบและยิ้มให้ ครั้งนี้ผมถูกสินะ ลาทีชา และเธอก็จูงมือผมเดิน ไม่รู้ น่าจะเรียกว่าฉุดกระชากมากกว่า ผู้หญิงอะไรแรงเยอะชะมัด ว่าแต่
    มือของเจ้าหล่อนี่ ทั้งนุ่มนิ่ม และ อุ่นดีจัง
    ด้านนอกห้องเก็บของนั้นเป็น ทุ่งกว้างๆ จะเรียกว่าไม่มีอะไรก็ไม่ถูก เพราะสิ่งที่เห็นมีทั้งต้นหญ้าเตี้ยๆ ต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่ประปราย  ไกลออกไปมีของที่หน้าคาเหมือนกังหันลมแบบที่ผมเคยเห็นในหนังสือ
    หรือว่าผมจะถูกพามาที่ชนบทที่ไหนสักแห่ง?
    ว่าแต่ผมมาได้อย่างไรหล่ะ?
    รวมทั้งบรรยายกาศของที่นี้ก็ไร้ซึ่งกลิ่นอายของสงครามเลยด้วย
    เธอทิ้งให้ผมยืนอยู่ในร่มไม้และเข้าไปหากับคนที่เข้ามาในห้องเก็บของด้วยเมื่อกี้ ดูเหมือนจะเป็นพ่อของเธอ
    พ่อของเธอหันมามองผมเป็นระยะระหว่างคุยกับลาทีชา ผมไม่รู้จะทำอะไรจึงไปนั่งใต้ต้นไม้ข้างๆ 
    เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆเดินเข้ามาหาผม ผมหันหน้าไปมอง ก็พบว่าลาทีชากับชายคนดังกล่าวกำลังเดินเข้ามาหาผม
    เขาพูดอะไรกับผมสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ แต่ลาทีชาก็สะกิดชายคนดังกล่าวและพูดด้วยสีหน้าเหมือนกำลังย้ำอะไรสักอย่าง
    ชายคนดังกล่าวชี้ที่ตัวเข้าเองและพูดว่า
    เอ็ดเวิร์ด
    เอ็ดวาร์ด?
    เขาส่ายหน้าและพูดชื่อตัวเองช้าๆ
    เอ็ดเวิร์ด
    เขายิ้มให้หับผมและขยี้หัวผมเล่น เขาหันไปพูดอะไรบางอย่างกับลาทีชาและเดินกลับไปทำงานของตนต่อ
    ลาทีชายื่นมือมาให้ผม ดูเหมือนว่าเธอจะพาผมไปที่ไหนอีกแน่ ผมลุกขึ้นและปัดฝุ่นที่กางเกงก่อนจะใช้มืออีกข้างยืนให้
    เธอพูดอะไรบางอย่างกับผม คำพูดน้นฟังดูแล้วผมรู้สึกว่าอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
    อยู่เธอก็ชี้มาที่ผมเหมือนจะบอกอะไร และผมก็นึกออกอย่างนึงคือ
    ผมยังไม่ได้บอกชื่อตัวเองเลย
    "ลิน"
    "ริน?"
    ผมพยักหน้าตอบ ถึงเสียงจะเพี้ยนไปบ้าง แต่ผมก็พอใจแล้วหล่ะ
    เธอพาผมเข้ามาในบ้านของเธอ และเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่มีกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ท้องตัวเองชักประท้วงขึ้นมาแล้ว
    ลาทีชาเข้าไปคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นแม่ของเธอ หน้าตานั้นผุดผ่องยากที่จะดูออกว่าอายุเท่าไหร่กัน และใบหน้าของนางก็ช่างละม่ายคล้ายคลึงกับลาทีช่า
    ลาทีช่าผายมือแนะนำ
    "คาเนเลีย"
    "คาเนเลีย"
    อื้ม เธอยิ้มอย่างพอใจ เช่นเดียวกับแม่(?)ของเธอ  เธอพูดอะไรกับลาทีชานิดๆหน่อย ลาทีชาก็เดินไปเปิดตู้ไม้ใกล้ๆกันและหยิบขนมปังออกมา และหยิบกระปุกอะไรสักอย่างมาวางตรงหน้าผม จากนั้นเธอก็หยิบแท่งเหล็กมาหนึ่งอัน
    ผมมองด้วยความสงสัยว่าจะทำอย่างไรกับมัน ลาทีชาจึงมาจัดการให้ผมดู ด้วยการใช้แท่งเหล็กนั่นตัดขนมปังออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วก็ใช้แท่งเหล็กอันนั่นแหละ จิ้มเข้าไปในกระปุก แล้วก็มีบางอย่างติดมากับปลาย ซึ่งมีสีเหลือง
    แล้วก็ปาดลงไปบนขนมปัง และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่า สิ่งในกระปุกคือ เนย
    เธอส่งมันมาให้ผม และพยักหน้าเหมือนจะบอกให้ผมกิน
    ผมกัดเข้าไปหนึ่งคำ ก็ทำให้รู้ว่ารสชาติของขนมปังนี่กับเนยนั้นมันช่างแตกต่างากที่ผมเคยกินมาก ถ้าจะให้ผมกลับไปกินอย่างที่เคยกินอีกคงยากแล้วหล่ะ
    หลังจากกินไปได้3แผ่นใหญ่ผมก็พอ หลังจากนั้นลาทีชาก็เหมือนจะช่วยแม่(แม่)เธอทำอาหาร  ซึ่งผมก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้บ้าง และการนั่งอยู่เฉยๆในครัวก็ค่อนข้างรู้สึกผิด จึงออกมาด้านนอกบ้านเพื่อไปหาพ่อ(?)ของลาทีชา เผื่อจะได้ช่วยงานอะไรบ้าง
    เขากำลังต้อนฝูงวัวอยู่ และดูเหมือนว่าผมก็ไม่มีอะไรให้ทำเลย จึงไปนั่งเล่นที่โคนต้นไม้ใกล้ๆแถวนั้น นั่งเหม่อมองออกไปไกล ป่า ขุนเขา ท้องฟ้า สายลมอ่อนๆ มันช่างสงบเหลือเกิน
    สงบจนรู้สึกว่าเรื่องที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด
    ผมนั่งเหม่อมองออกไปสักพักก็รู้สึกว่าหนังตาตัวเองหนักอึ้ง และโลกทั้งใบก็มืดดับลง
   
    ริน ริน ริน
    เสียงของลาทีชาดังก้องอยู่ในความมืด อืม
    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา ท้องฟ้าตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเย็นแล้ว นี่ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย
    ผมนั่งงัวเงียอยู่พักนึงก็ลุกขึ้น เธอเดินนำผม และพูดอะไรสักอย่าง แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงผม
    เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พาเข้าห้องครัวเลย และทุกคนต่างก็นั่งกันครบแล้ว ผมนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆกับลาทีชา ในจานเป็นซุปอะไรสักอย่าง และมีกับข้าวอีกหลายอย่าง ซึ่งก็ล้วนแต่น่ากินทั้งสิ้น
    ผมจัดการตักซุปเข้าปากก่อนและจัดการกินอย่างอื่นตาม ซึ่งก็ล้วนแต่อร่อยถูกปากผมทั้งสิ้น
    หลังจากทานข้าวอิ่มแล้วผมก็นั่งอยู่โต๊ะอาหารแสงที่ส่องสไวยามราตรีนั้นมีแต่ตะเกียงที่ไม่รู้ว่าใช้เชื้อเพลิงเป็นอะไร
    คาลีนาหายไปสักพักเธอก็กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือของเธอ เธอส่งให้ผมและเธอพาผมมายังสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตัวบ้านไม่มากนัก มันดูเหมือนโรงอะไรสักอย่าง เมื่อเข้าไปก็พบว่ามันคือห้องน้ำ  เธอพยักหน้าให้ผมเข้าไป ดูเหมือนจะให้ผมอาบน้ำสินะ
    เมื่อผมเข้ามาข้างในตะเกียงที่ตั้งอยู่ด้านในก็สว่างขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ มันติดได้อย่างไรกัน?
    ช่างเถอะ อาบน้ำดีกว่า
    หลังจากขัดและล้างตัวแแล้วผมก็ลงไปแช่ในอ่างไม้ น้ำภายในนั้นร้อนกำลังดี และมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนตลาย ผมนึกทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านมาในช่วง2ปี 2ปีที่ผมต้องอยู่อย่างหวาดกลัว เมื่อใดก็ตามที่เสียงหวูดดังขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านต้องอพยพและซุกกาย และเมื่อออกมาก็ต้องพบกับความพินาศบ้านเรือนถูกรื้อค้น และ ผู้คนที่ถูกพบถูกสังหารสิ้น
    มันคือผลกระทบของสงครามที่เกิดขึ้น พวกเราไม่รู้จะอพยพไปไหน จึงได้แต่ทนอยู่อย่างนั้น
    แต่ว่าที่นี้ต่างออกไป บรรยากาศแสนสงบสุข ถ้าทุกคนได้มาอยู่ที่นี่ก็คงดี
    ชุดที่ลาทีชาเตรียมให้ผมนั้นจะรู้สึกว่าเป็นชุดของเธอเองเพราะเนื้อผ้าและการตัดเย็บแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น
    ผมเดินกลับเข้ามาในครัวก็พบลาทีชานั่งรอผมอยู่ เธอลุกขึ้นและพาผมขึ้นไปยังชั้น2ของบ้าน และที่สุดทางเดินเธอก็เดินนำเข้าไป และไฟในห้องก็สว่างขึ้น ภายในห้องดูก็รู้เลยว่าเป็นห้องของเด้กสาวแน่นอน เธอตบที่เตียงเธอเหมือนว่าจะให้ผมนอนที่นั่น แต่สายตาของผมเห็นฟูกอันหนึ่งวางไว้กับพื้น ผมจึงเดินไปคลี่ดูแต่สภาพมันช่างไม่เหมาะสมกับการนอนเสียเลย
    มือของลาทีชาจับเข้าที่ไหล่ผมและดูเหมือนเธอจะอยากให้ผมนอนที่เตียงเธอมากกว่า ผมสามารถเลือกที่จะนอนที่ฟูกนั่นก็ได้แต่ว่า ผมแพ้สายตาของลาทีชาที่กำลังมองมา ผมไม่กล้าปฏิเศษเธอ ไม่ใช่เพราะความน่าเกรงขาม แต่เพราะความน่าหลงไหลในดวงตาต่างหากที่ผมไม่กล้าทำให้มัวหมอง
    กลิ่นกายหอมอ่อนๆดุจดอกไม้ผลิบานของลาทีชานั่นยิ่งเด่นชัดเมื่อผมนอนบนที่นอนของเธอ
    นอนไม่หลับเลยวุ้ย  เตียงที่นอนนั้นขนาดก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนอนได้2คน มันประมาณแค่คนครึ่งเอง จึงทำให้ร่างกายของเราสองคนชิดกันพอสมควร
    และดูเหมือนว่าลาทีชาจะหลับไปเสียแล้ว ผมก็ได้แต่พยายามข่มตาให้ตัวเองหลับ
    เจ้าหนู
    เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงแหบพร่าที่น่าจะพูดออกมาจากชายชรา ผมหันไปทางลาทีชา ซึ่งก็พบว่าเธอได้หลับสนิทไปเสียแล้ว
    และเมื่อหันไปทางประตูก็ไม่พบว่าใครอยู่ มีทางเดียวคือ หน้าต่าง
    ผมลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปดูทางหน้าต่าง ก็พบเงาคนยืนอยู่ด้านนอก
    มานี่สิไม่ต้องกลัว
    เสียงที่ได้ยินเป็นภาษาที่ผมเข้าใจได้ ว่าแต่ชายคนนี้พูดเสียงดังถึงขนาดดังมาถึงชั้นสองของบ้านแต่ว่าคนในบ้านกลับยังคงหลับสนิทไม่รู้สึกตัว เขาทำได้อย่างไร
    เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีีทีท่าว่าจะไปไหน ผมจึต้องลงไปอย่างช่วยไม่ได้
    เมื่ออกมาที่ลานบ้านผมก็เห็นเขานั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ที่ผมนอนเมื่อตอนบ่าย
    "เจ้าหนูมาใกล้ๆนี่มา"
    เขากล่าวชักชวน และน่าประหลาดที่ผมเชื่อชายคนดังกล่าว
    "โลกนี้ไม่ใช่โลกของเธอ"
    เขากล่าวสั้นๆ ไม่ใช่โลกของผม
    "ใช่แล้วโลกนี้ไม่ใช่โลกของเธอ เธอก็น่าจะรู้สึกนี่ ตะเกียงที่อยู่ๆก็ติดขึ้นมาเองน่ะ"
    เขาพูดเหมือนจะอ่านใจผมออก
    "เจ้าหนูเธอต้องการกลับไปที่โลกของเธอมั้ย"
    "ฮะ?"
    "ใช่แล้วฉันส่งเธอกลับไปได้ถ้าเธอต้องการ"
    "ผมขอถามคุณอย่างนึงได้มั้ย"
    "ได้สิว่ามา"
    "คุณพูดภาษาที่ผมเข้าใจได้ยังไง"
    "ฉันก็คนที่มาจากโลกเดียวกับเธอนั่นแหละ"
    เขาบอก อย่างงี้นี่เองสินะ
    "แล้วคุณไม่กลับไปเหรอ"
    "ฉันมีหน้าที่ต้องทำอยู่ ตามจริงฉันว่าจะมาหาเธอตั้งแต่เธอมาที่โลกนี่เนี่ยแหละ แต่โชคร้ายที่เธอพบกับคนของโลกนี้เข้าเสียแล้ว"
    น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่า ชายคนนี้ไม่ได้พูดโกหกและผมเชื่อเขาได้
    "ว่าแต่เธอต้องการกลับไปยังโลกของเธอมั้ย"
    "ผมไม่แน่ใจ"
    "ทำไมหรือ"
    ผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเมื่อได้ฟังเสร็จ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
    "อย่างงี้นี่เอง มาใกล้ๆสิ"
    เขากวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาใกล้ๆ และเมื่อผมเข้าไปใกล้ มืออันหยาบกร้านก็คว้าหมับเข้าที่หัวของผม ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนผมทนไม่ไหว มันเจ็บปวดเหมือนกับว่าหัวกำลังจะระเบิดออกมา
    "ฉันให้เวลาเธอตัดสินใจ1อาทิตย์ ถ้าครบเมื่อไหร่ฉันจะมาฟังคำตอบจากเธอ"
    "อ่อ เธอจะเล่าเรื่องนี้ให้คนในบ้านฟังก็ได้นะ ถ้าเธอเอ่ยถึงฉันคนในบ้านก็รู้แน่นอน"
    และนั่นก็เป็นคำพูดที่ผมได้ยินครั้งสุดท้ายก่อนที่โลกทั้งใบจะมืดดับลง
   
    ริน
    เสียงของลาทีชาดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทของผม เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับเช้าอรุณอันแสนสดใส เสียงนกร้องประสานเสียงดังอยู่ด้านนอก
    "เช้าแล้วเหรอ"
    ผมพูดออกมาอย่างเคยชิน และหันไปทางลาทีชาที่ทำหน้าเหมือนเห็นผี ก่อนที่จะโผเข้ากอดผม นี่เธอเป็นอะไรเนี่ย?
    "รินฟังที่ฉันพูดรู้เรื่องมั้ย"
    "อืม"
    พยักหน้าอย่างช้าๆ อย่างไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ผมฟังที่เธอพูดรู้เรื่องและดูเหมือนผมจะฟังเธอรู้เรื่องเช่นกัน
    "แม่ รินเขาฟังที่พวกเราพูดรู้เรื่องแล้วค่ะ"
    เธอประกาศก้องไปทั้งบ้านอย่างลิงโลด ผมเดินตามเธอลงไปด้านล่าง และก็เห็นเอ็ดเวิร์ดกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
    "รินฟังที่พวกเราพูดรู้เรื่องแล้วเหรอ"
    ผมพยักหน้าอย่างประหลาดใจ และนั่นก็พอจะยืนยันได้แล้วว่าผมฟังที่พวกเขาพูดรู้เรื่องแล้ว และไม่เพียงแค่คำพูดตัวอีกษรผมก็สามารถอ่านได้เช่นกันจากหนังสือในมือของเอ็ดเวิร์ด
    "รินมานี่สิ"
    เสียงลาทีชาเรียกผมให้เข้าไปในครัว
    "แม่รินเขาฟังที่พวกเราพูดได้แล้ว"
    "เหรอ"
    สีหน้าของคาเนเลียไม่ได้บ่งบอกถึงความดีใจสักเท่าไหร่  แต่ก็รู้ได้ว่าเธอก็ดีใจอยู่เหมือนกัน
    "รินช่วยยกนี่ไปที่โต๊ะหน่อย"
    ลาทีชาออกเสียงสั่งผม
    และเมื่ออาหารพร้อมแล้วทุกคนก็เริ่มทาน โดยที่ยังไม่ได้ถามสาเหตุอะไร
    และเมื่อทานเสร็จแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็เป็นคนเริ่มถามเลย
    "รินเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ"
    "ตอนผมจะนอนผมได้ยินเสียงชายคนหนึ่งเรียกผม"
    "๙ายคนหนึ่ง?"
    "ครับ"
    ผมพยักหน้าตาเนเลีย ดูเหมือนว่าคนในบ้านที่ชายคนนั้นพูดถึงจะเป้นเธอ
    "เป็นชายแก่ตัวสูงกว่าคุณเอ็ดเวิร์ด"
    "ใช่เขาจริงด้วยเอ็ดเวิร์ด"
    คาเนเลียหันไปพูดกับเอ็ดเวืร์ด
    "ใช่ เขายังมีชีวิตอยู่"
    เขาพูดตอบกลับมา ถึงไม่แสดงออกมา แต่ก็ดูออกว่าเขาเองก็ดีใจ
    "ไม่ต้องเล่าอะไรอีกแล้วหล่ะ เรารู้แล้วว่าทำไม"
    "แล้วเรื่องของเธอหล่ะริน"
    ลาทีชาถามขึ้น และดูเหมือนเรื่องของชายปริศนานั่นจะรู้กันแค่พ่อแม่ของเธอ  ผมพยักหน้าตอบและ เริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่ก่อน5ปีก่อน จนถึงตอนนี้
    "สรุปคือรินเข้าไปหลบอยู่ในถุงไม้ในหลุมหลบภัยแล้วก็ไม่รู้ทำไมถึงมาอยู่ในถังของคุณพ่อสินะ"
    ลาทีชาสรุป
    "ไม่ว่าคำตอบของเธอจะเป็นยังไงพวกเราก็ไม่ว่าอะไรเธอหรอกนะ"
    คาเนเลียบอก
    "รินจะกลับรึเปล่า"
    ผมส่ายหน้าอย่างไม่แน่ใจ ใจนึงผมก็นึกห่วงเรื่องของพี่น้องที่อยู่อีกฝั่ง แต่ใใจนึงผมก็อยากจะอยู่ที่นี้
    "ไม่ต้องรับตั้งอาทิตย์นึง"
    เอ็ดเวิร์ดบอกและลุกจากโต๊ะอาหารและเดินออกไปเหมือนเขาจะออกไปทำงาน ผมไปช่วยบ้างดีกว่า
    "ไม่ต้องไปหรอกริน เดี๋ยวเธอช่วยไปเป็นเพื่อนลาทีชาซื้อของหน่อยนะ"
    และนั่นก้ทำให้ผมต้องกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเอง
    "ก่อนอื่นรินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ"
    ผมก็คิดอย่างงั้นเช่นกัน เพราะที่ผมใส่เป็นกางเกงขาสั้นพับขาและเสื้อแขนกุด ซึ่งรูปแบบเสื้อผ้านั้นเป็นของผุ้หญิง
    ผมช่วยลาทีชาเก็บกวาดโต๊ะระหว่างที่รอคาเนเลียไปเอาเสื้อผ้ามาให้
   
    "นี่ริน"
    "หือ"
    ผมขานตอบลาทีชาระหว่างที่กำลังเดินทางเข้าหมู่บ้าน ตอนนี้เธอสะพายกระเป๋าข้างซึ่งภายในนั้นคงมีเงินตราของทางนี้และรายการของที่ต้องซื้อ
    "ตอนนี้รินคิดจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปงั้นเหรอ"
    "มันก็ตอบยากนะ ใจนึงก็เป็นห่วงน้องๆ อีกใจนึงก็กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะเป็นยังไง"
    "รินมีน้องงั้นเหรอ?"
    "ไม่ใช่น้องจริงๆหรอก น้องๆที่สถานกำพร้าน่ะ"
    และเมื่อเธอได้ยินเธอก็ทำหน้าเศร้า
    "พ่อแม่ของนาย"
    "อืมเสียแล้ว"
    "ขอโทษ"
    "ขอโทษทำไมกันหล่ะ คนไม่รู้ไม่ผิดสักหน่อย"
    ผมบอกและลูบเรือนผมที่ปรกหน้าเธอออก ผมไม่อยากเห็นเธอทำหน้าเศร้า รอยยิ้มเหมาะกับเธอที่สุดแล้ว
    หลังจากที่เดินในตลาดอยู่พักนึงก็ได้ของมาจนครบ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนล้วนถามถึงผมที่มาเป็นคนถือของให้เธอ ของที่ซื้อก็มีพวก เนื้อสัตว์ ผลไม้ ซึ่งมันก็มากพอตัว
    เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียว ลาทีชาช่วยแม่เธอทำอาหารและงานบ้าน ส่วนเอ็ดเวิร์ดก็ไม่รู้ไปไหนเสียแล้ว 
    ผมจึงขึ้นมาชั้นบนเพื่อหาหนังสืออ่านที่ห้องของลาทีชา มันเป็นหนังสือทั่วซะส่วนใหญ่ แต่สายตาผมก็ไปสะดุดเข้าที่หนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อที่สันของมันถูกเขียนด้วยภาษาโลกของผม
    "รินมาช่วยยกน้ำหน่อย"
    เสียงของลาทีชาเรียกผมมาจากชั้นล่าง เธอคงเห็นว่ารองเท้าผมยังอยู่สินะ เมื่อลงมาถึงข้างตัวซึ่งมีบ่อน้ำอยู่ แต่ว่า มันไม่มีถึงสำหรับใช้ตังน้ำ มีเพียงถังน้ำที่ถือมา แล้วจะตักยังไง
    "แล้วจะตักยังไงหล่ะ"
    เธอไม่ตอบอะไรผมวาดมือกลางอากาศเหนือบ่อน้ำ  และสายน้ำก็พุ่งออกมาเป็นลำลงสู่ถังน้ำทีละใบ ทีละจนเต็มครบ4ถัง เธอหันมายิ้มให้ผม
    "ยกได้แล้ว"   
    "เธอทำได้ยังไงลาทีชา"
    "อืมก็เรื่องปกตินะ"
    เธอพูดและทำหน้าไม่เข้าใจที่ผมพูดสักเท่าไหร่นัก และเหมือนจะนึกอะไรออก
    "อ้อโลกของรินไม่มีเวทย์มนนี่เอง"
    "เวทมนต์?"
    "อื้ม"
    "จะฝึกหน่อยมั้ย"
    "ก็น่าสนใจนะ"
    ผมบอกและยกถังน้ำขึ้นมา2ข้าง ไปวางที่ข้างโรงอาบน้ำเมื่อคืน และยกอีก2ถังไปที่ครัว
    หลังจากเสร็จงานแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำ ผมจึงกลับมาที่ห้องและหยิบหนังสือเล่มดังกล่าวมาอ่านอีกครั้ง
    ใครหล่ะเป็นคนเขียน?
    แล้วทำไมลาทีชาถึงมีหนังสือเล่มนี้หล่ะ?
    "รินกินข้าวจ้า"
    ลาทีชาขานเรียกผมเสียงใส เที่ยงแล้วรึนี่ ผมปิดหนังสือเล่มนั้นและเก็บมันเข้าที่เดิม
    "รินทำอะไรข้างบนเหรอ"
    "อ่านหนังสือน่ะ"
    ลาทีชาถามทันทีที่ผมลงมา ผมบอกโดยที่ยังไม่ได้บอกว่าอ่านหนังสืออะไร
    "ชอบอ่านหนังสือเหรอ"
    "อืม"
    หลังจากทานมื้อกลางวันแล้ว ทั้งบ้านก็เหลือแค่ผมกับลาทีชา คาเนเลียออกไปข้างนอก ส่วนเอ็ดเวิร์ดก็ออกไปทำงานต่อ เมื่อผมอาสาจะไปช่วยก็บอกเหมือนกับเมื่อเช้า
    ซึ่งมันก็เป็นการดีที่ผมจะถามคำถามที่ผมสงสัย
    "นี่ลาทีชาในหัองเธอทำไมมีหนังสือที่เขียนด้วยภาษาโลกของเราหล่ะ"
    เมื่อลาทีชาได้ยินเธอก็ทำสีหน้างุนงงทันที
    "รินพูดถึงอะไรงั้นเหรอ"
    เธอสงสัยจึงไปที่ห้องกับผมทันที ผมหยิบหนังสือเล่มที่ว่าให้ แต่ว่า มันหายไปแล้ว? มันถูกแทนที่ด้วยหนังสือ ที่น่าจะเป็นหนังสือนิยายอะไรสักอย่าง
    "ไหนหนังสือที่ว่าเหรอริน"
    "น่าแปลกนะ จำได้ว่าตอนเก็บเก็บไว้ตรงนี้นี่นา"
    ผมพูดด้วยความประหลาดใจ
    "ไม่สบายรึเปล่าเนี่ย"
    เธอพูดพร้อมกับเอามือมาแตะหน้าผากผม พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ยื่นมาใกล้ไปแล้ว
    "ก็ไม่นี่นา แต่รินทำไมหน้าถึงได้แดงขึ้นมาหล่ะ"
    "เอ่อ คือ ว่า . . "
    ผมอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้จะพูดยังไง และจู่ๆดวงตาของเธอก็เบิกโพลงและรีบถอยห่างจากผม ใบหน้าเธอแดงขึ้นมา คงจะรู้แล้วสินะ
    "เอ่อ คือ ..
    "ลาทีชามานี่สิ"
    เสียงของคาเนเลียตะโกนเรียกจากชั้นล่างช่วยทำลายบรรยากาศอันน่าลำบากใจภายในห้อง
    "ขอตัวก่อนนะ"
    เธอยิ้มให้ผมและรีบออกจากห้องไป ผมยืนอยู่อย่างนั้นพักนึงก็กับไปหาหนังสืออ่านแต่ว่าสายตาผมไปเห็นหนังสือเล่มที่ผมพูดถึงกลับมาอยู่เดิมของมันอีกครั้ง!
   
    "นี่แม่คะ รินเขาบอกอยากจะฝึกเวทมนต์น่ะ"
    "งั้นเหรอริน"
    "อ่อครับ แต่ผมว่า ไม่ฝึกดีกว่า เพราะตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะอยู่ต่อหรือว่ากลับไปโลกของตัวเอง"
    "ทำไมเหรอ"
    ลาทีชาถามผด้วยแววตาใคร่รู้
    "คิดดูนะ โลกที่ผมอยู่น่ะมันไม่มีเวทมนต์เลย ถ้าผมกลับไปแล้วยังใช้เวทมนต์ได้มันต้องเป็นเรื่องวุ่นวายแน่ๆ"
    "ที่รินพูดก็มีเหตุผล"
    เอ็ดเวิร์ดเห็นด้วยกับที่ผมพูด และดูท่าว่าคาเนเลียจะเห็นด้วยเช่นกัน
    "อย่างงี้นี่เอง"
    อยู่ๆสีหน้าของลาทีชาหม่นหมองขึ้นมา แต่เพียงอึดใจก็หายไป
    วันที่4ของการตัดสินใจผมตื่นขึ้นมาในยามเช้าพร้อมกับอาการเจ็บปวดที่นิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเมื่อคืน ที่เจ็บปวดเสียจนอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าเจ็บปวดที่สุดในชีวิตที่เจอมาแล้วหล่ะ ความเจ็บปวดจากกระสุนยังไม่เท่าอันนี้เลย ผมลงมาที่ด้านล่างของตัวบ้านพร้อมกับล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงเพื่อไม่ให้ลาทีชาเห็นมัน
    ส่วนคาเนเลียกับเอ็ดเวิร์ดนั้นทราบเรื่องนี้ดีจึงไม่ต้องปกปิด
    "รินตื่นแล้วเหรอ ว่าจะไปเรียกอยู่พอดีเลย"
    ลาทีชากล่าวทักทายผมเมื่อเห็นผมเดินลงบันไดมา  เธอวางชามซุปลงบนโต๊ะอาหารและเดินกลับไปยกชามกับข้าวอย่างอื่นมาอีก
    "มาช่วย"
    ผมเดินเข้าไปหาและจะช่วยยก
    "ไม่ต้องหรอก เราทำเองได้ รินไปล้างหน้าก่อนเถอะ"
    ผมหันไปมองกระจกก็พบกับคำตอบว่าทำไม หน้าผมโทรมอย่างมาก
    "อืม"
    ผมตอบรับในลำคอและเดินออกมาเดินนอก พร้อมกับวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วผมก็กลับเข้ามา
    "นี่รินนอนน้อยเหรอหน้าโทรมเชียว"
    คาเนเลียถามผมด้วยความเป็นห่วง
    "ก็นิดหน่อยน่ะครับ"
    ผมแสร้งตอบไป ตามจริงผมแทบไม่ได้นอนเลยต่างหาก
    "นี่รินไปทำอะไรมาน่ะ"
    ลาทีชาสังเกตเห็นแผลมือผมจนได้ อุตส่าห์ซุกแล้วเขียว
    "เมื่อคืนเกิดอุบัติเหตุนิดๆหน่อยๆน่ะ แล้วคุณคาเนเลียมาเจอพอดีเลยได้ทำแผล"
    ผมโกหก ผมไม่อยากให้เธอเป็นห่วง ก็เลยต้องพูดโกหก
    "ว่าแต่คุณเอ็ดเวิร์ดไปไหนเหรอครับ"
    ผมถามเมื่อสังเกตชามที่วางบนโต๊ะมีแค่3ชุด
    "ออกไปธุระในหมู่บ้านแต่เช้าน่ะ"
    "งั้นเหรอครับ"
    ผมกับเริ่มลงมือทานข้าวเช้า โดยการจับช้อนค่อนข้างลำบากเพราะผมจับข้างซ้าย ก็เลยต้องเผลอนิ้วโป้งขึ้น อย่างช่วยไม่ได้
    วันสุดท้ายของการตัดสินใจ
    ผมปรีกตัวมานั่งอยู่คนเดียวเงียบๆริมธารเล็กๆสายหนึ่ง ผมค่อนข้างลำบากใจจึงมานั่งที่ตรงนี้ ซึ่งลาทีชาเป็นคนแนะนำมาเอง
    "ว่าแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่"
    เสียงของลาทีชาทักผมมาจากด้านหลังเธอลงมานั่งข้างๆผม กลิ่นกายหอมอ่อนๆดุจดอกไม้ของเธอลอยเข้ามาในจมูกผม
    "นี่ลาทีชา"
    ผมตัดสินใจที่พูดมันออกไป ยังไงผมก็ต้องบอกให้เธอรู้ให้ได้ภายในวันนี้
    "เราตัดสินใจจะกลับไปนะ"
    "ฮะ?"
    "เราตัดสินใจกลับไปนะ"
    ผมบอกย้ำอีกทีหลังจากที่เธอถามกลับมาด้วยความไม่แน่ใจ ตอนนี้ผมไม่กล้าหันกลับไปมองหน้าเธอแล้วหล่ะ
    "ล้อเล่นใช่มั้ย"
    ผมส่ายหน้าตอบ น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นเครือราวกับว่าจะกำลังจะร้องไห้  ผมอยากหันไปซับน้ำตาให้เธออยู่หรอก แต่ว่าผมทำไม่ได้จริงๆ ผมไม่กล้าหันไปเห็นน้ำตาของเธอที่กำลังเอ่ออยู่ในดวงตาแสนงามคู่นั้น ผมทำไม่ได้จริงๆ
    "ล้อเล่นใช่มั้ย"
    "ไม่"
    ผมตอบกลับเธอสั้นๆและแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่แสนสดใสนั่น ผมสัมผัสได้ว่าลาทีชานั้นกำลังจับแขนเสื้อผมอยู่
    "ไม่กลับไปได้มั้ย"
    เสียงที่สั่นเครือและมีเสียงสะอื้นปนมานั้น ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ได้ยินมัน  ผมเลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบ
    ไม่มีเสียงร้องไห้มาจากอีกฝั่ง ได้ยินแต่เสียงสะอึกสะอื้น เธอกำลังจะร้องไห้ออกมาแล้ว ผมนี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ
    ผมคว้าตัวของเธอเข้ามากดไว้ และเมื่อนั้นเธอก็ปล่อยโฮออกมา ผมได้ยินเสียงเธอพร่ำพูดออกมาว่า
    ทำ ไม
    ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอ ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะก้มลงมามองเธอนะตอนนี้ ไม่กล้าที่จะปล่อยเธอไป และไม่กล้าที่จะบอกความจริงบางอย่าง
    หลังจากที่ลาทีชาหยุดร้องไห้แล้ว ตอนนี้ก็เริ่มที่จะเย็นแล้ว ผมให้เธอล้างหน้ากับลำธารก่อนที่จะกลับไป เพราะเกรงว่าถ้ามีคนมาเห็นเธอในสภาพนี้ อาจจะเข้าใจผิดอะไรได้
    "ปะกลับกันเถอะ"
    ลาทีชาพยักหน้าตอบช้าๆ และเดินตามมาอย่างเงียบๆจนถึงบ้าน คาเนเลียกับเอ็ดเวิร์ดเห็นก็รู้ในทันทีว่า ผมพูดไปแล้ว
    "นี่ลาทีชากินอีกหน่อยสิ วันนี้กินน้อยมากเลยนะ"
    ผมบอกและตักกับข้าวใส่จานของเธอ ตั้งแต่นั่งโต๊ะมาเธอไม่ได้ตักอะไรเข้าปากเลย เอาแต่ทำหน้าเศร้าอย่างเดียว
    หลังจากจบมื้อเย็นอันแสนอึกครึ้มแล้ว เราสองคนก็กลับมาที่ห้องนอน
    "นี่ริน"
    เธอตบที่เตียงเธอดังตุบๆ
    "จะให้นอนด้วยเหรอ"
    เธอพยักหน้าตอบซึ่งผมก็ไม่อยากจะปฏิเศษเธอในตอนนี้ด้วย
    "นี่รินหลับรึยัง"
    ลาทีชาเอ่ยขึ้นเบาๆ ยังหรอก ตอนนี้ผมยังไม่กล้าหลับด้วย
    "ยังหรอก"
    "ออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยมั้ย"
    "เอาสิ"
    ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงของนกฮูกและเหล่านกราตรีทั้งหลายที่ได้ยินอยู่ๆไกลๆ
    เราสองคืนเดินมาตามทางเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรกันเลย
    "นี่ริน"
    "หืม"
    ลาทีชาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เธอหยุดเดินและหันมาหาผม โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนที่จันทร์เต็มดวงผมจึงเห็นใบหน้าเธอได้อย่างชัดเจน
    "ถ้ารินกลับไปโลกของรินแล้วรินจะลืมเรื่องของที่นี่รึเปล่า"
    "ไม่หรอก"
    แน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ที่นี่อย่างแน่นอน กลับไปผมจะจดบันทึกไว้ไม่ให้ตัวเองลืม
    "ทำไมเหรอ"
    "อยากรู้น่ะ"
    เธอตอบเสร็จก็หายใจเข้าลึกๆเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอะไรสักอย่าง
    มือของเธอจับเข้าที่ไหล่ของผมและก่อนที่ผมจะรู้อะไรริมฝีปากอันอ่อนนุ่มนั่นก็
    กลิ่นหอมของเธอนั้นตอนนี้คละคลุ้งอยู่ในลมหายใจของผม เธอยังคงประกบปากอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย
    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เธอก็ละออกจากปากผม
    "ถ้าลืมหล่ะก็โกรธจริงๆนะ"
    อยู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง
    "อย่าร้องสิ"
    ผมบอกและใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาของเธอ
    "เราไม่ได้ร้องสักหน่อย"
    เธอกล่าวปฏิเศษแต่ว่าเสียงสะอื้นที่ได้ยินนั้นก็ยากที่จะปกปิด
    "งานเลี้ยงย่อมเลิกลา การพานพบย่อมมีแยกจาก"
    ผมพูดประโยคหนึ่งที่ผมจำได้จากหนังสือที่โลกของผม และนำมันมาแปลงเป็นภาษาของโลกนี้
    "ไม่กลับไปได้มั้ย"
    ในที่สุดเธอก็พูดความต้องการตัวเองออกมาจนได้  ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าผมจะกลับนั้น เธอก้พูดแค่ว่า จะกลับจริงๆเหรอ 
    ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป
    "งั้นเหรอ ยังไงก็จะกลับสินะ"
    ผมพยักหน้าตอบ
    "งั้นสัญญาว่าจะไม่ลืมกัน"
    "ได้"
    ผมตอบรับและเกี่ยวก้อยสัญญา มันก็น่าอายอยู่หรอกนะ
    "กลับกันเถอะนี่ก็ดึกแล้ว"
    "อื้ม"
    เธอพยักหน้าตอบและจับมือผม เมื่อกลับมาถึงพวกเราก็ขึ้นนอนเลย และตั้งแต่กลับมาเธอก็ไม่ยอมปล่อยมือผมสักทียังคงจับมือผมไม่ไว้อย่างนั้น แม้ว่าจะใกล้หลับแล้ว
    แต่คืนนี้ผมหลับไม่ได้ ผมมีบางอย่างต้องทำก่อน
    ผมค่อยๆลูบหัวเธออย่างแผ่วเบา และเก็บเส้นผมที่ลงมาปลกใบหน้าเธออยู่ ณ ตอนนี้
    และมือที่จับผมอยู่ก้คลายตัวออก
    ผมลุกขึ้นจากเตียงและออกจากห้องไป ผมเดินไปยังห้องของคาเนเลียและเอ็ดเวิร์ด พร้อมกับเคาะประตู2ครั้ง เมื่อเปิดเข้าไป ก็เห็นทั้งสองนั่งรออยู่แล้ว
   
    ชายปริศนาคนนั้นมาหาที่บ้านเมื่อถึงเวลานัดนั่นคือ ตอนเที่ยง
    พวกเราออกมายืนกันอยู่ใกล้กับต้นไม้ในคืนนั้น
    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คาเนเลีย เอ็ดเวิร์ด"
    ชายคนดังกล่าวทักทาย ทั้งสอง เขาหันไปมองพิจารณาลาทีชาที่ยืนอยู่ข้างๆผม
    "ลูกสาวพวกนายนี่ไม่มีเค้าโครงของพ่อเลยนะ"
    ผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
    "เรื่องนั้นช่างมันเถอะ นายหายไปไหนมา บาร์ล"
    บาร์ล? ชื่อของชายคนนี้สินะ
    "ก็เรื่อยเปื่อยตามภาษาคนที่ทำหน้าที่ดูแลนั่นแหละเอ็ดเวิร์ด"
    "ว่าแต่พ่อหนูตัดสินใจรึยัง"
    หลังจากที่เขาตอบเอ็ดเวิร์ดเสร็จก็หันกลับมาถามผม
    ผมพยักหน้าตอบอย่างช้าๆ
    "ผมจะกลับ"
    "โอ้ ขอถามเหตุผลสักหน่อยได้มั้ย"
    ผมลังเลที่จะตอบไป แต่ก็นึกได้ว่าผมสามารถสื่อสารด้วยภาษาเก่าของตัวเองได้
    "ผมเป็นห่วงน้องๆที่อยู่อีกฝั่งนึง"
    "โอ้ แล้วแม่สาวที่ยืนอยู่ข้างๆเจ้าไม่สำคัญงั้นเหรอ"
    เขาถามถึงลาทีชาที่ยืนอยู่ข้างๆผม ดูเหมือนเขาจะดูออก
    "ก็สำคัญ แต่ว่า..."
    "ไม่ต้องพูดแล้วหนุ่มน้อย"
    "นับตั้งแต่เธอกลับไปที่อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเธออยากจะอยู่รอดจริงๆ เธอห้ามออกจากถังใบนั้นจนกว่าจะครบ48ชั่วโมง"
    "แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าครบ24ชั่วโมงแล้ว"
    เขาทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก็ชี้มาที่มือผม
    "ยื่นมือมานี่"
    เมื่อผมยื่นมือไปให้เขาก็ลูบมือผมเบาๆ
    "เมื่อครบแล้วเธอก็จะได้ยินเสียงน้ำเอง"
    ผมพยักหน้าตอบ
    "นี่รินคุยอะไรกันเหรอ"
    ลาทีชาเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
    "ก็เรื่องของอีกฝั่งน่ะ"
    "บอกไม่ได้เหรอ"
    ผมพยักหน้าตอบ
    "นี่ลาทีชา ถ้าเรากลับไปแล้วอย่าร้องไห้อีกนะ น้ำตาไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด"
    "ถ้าเราร้องนายจะรู้เหรอ"
    นั่นสิ ผมคงไม่รู้หรอก
    "แต่เราสัญญา"
    ผมเข้าไปสวมกอดเอ็ดเวิร์ดและคาเนเลียเป็นการร่ำลา
    "ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่พวกคุณก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเป็นครอบครัวเดียวกับพวกคุณ"
    "รักษาตัวด้วยนะ"
    ผมพยักหน้าตอบคาเนเลีย หลังจากรำลาเสร็จแล้ว ผมก็หันไปหาลาทีชา ซึ่งยังไม่ทันจะทำอะไร เธอก็เข้ามากอดผมก่อน
    "ดูสิยังไม่ทันจะไปเลยจะร้องไห้อีกแล้ว"
    ผมแกล้งพูดเย้าหยอก และลูบหัวเธอเบาๆ
    "ก็รินยังไม่ได้ไปนี่"
    เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่พร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ ผมกระซิบบอกอะไรบางอย่างที่ข้างหูเธอและดันตัวเธอออกมา
    "เข้าใจนะ"
    ลาทีชาพยักหน้าตอบผมปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลจากนั้นจึงยิ้มให้ผม
    "รักษาตัวด้วยนะ"
    "อื้ม"
    "ร่ำลาเสร็จแล้วใช่มั้ยพ่อหนุ่ม"
    บาร์ลเอ่ยถาม ผมพยักหน้าตอบ เขาปักไม้เท้าของเขาไว้ เป็นแนวขนานกับต้นไม้ต้นนั้น
    "เมื่อเธอเดินผ่านตรงนี้ไป เธอก็จะกลับไปยังโลกของเธอ"
    เขาอธิบาย เขตแดนเชื่อมต่อสินะ
    ผมค่อยๆก้าวเดินผ่านจุดนั้นช้าๆ  และโลกทั้งใบก็สว่างจนต้องหลับตา
    ผมลืมตาข้นมาอีกครั้งก็พบกับความมืด และกลิ่นอับชื้น นี่ผมกลับมาแล้วสินะ อีก48ชั่วโมงสินะ ทำอะไรรอดีหล่ะ
    นอนรอแล้วกัน
    ผมคิดและพยายามข่มตาหลับ
    ติ๋ง
    เสียงหยดน้ำดังขึ้นในหัว นี่คงเป็นสัญญานที่ว่าสินะ ผมคิดและค่อยๆแง้มฝาถังออก พวกผู้ใหญ่ยังคงนั่งจับกลุ่มกันที่มุมห้อง
    "เจ้าหนูอย่าออกมาสิ"
    ผมชายคนหนึ่งเดินเข้ามาดุผม
    "ผมหิว"
    เขาถอนหายใจและเดินกลับไปที่มุมของตน และส่งขนมปังมาให้
    "กลับเข้าไปซะ"
    ผมรับมา และผลุบกลับเข้าไป
    ซะเมื่อไหร่ ผมดีดนิ้ว และเมื่อสื้นเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างก็หยุดการเคลื่อนไหว
    ใช้ได้จริงๆด้วย
    ผมนึกขึ้นในใจ และหยิบหนังสือเก่าคร่ำคึเล่มหนึ่งออกมา นี่คือหนังสือที่ผมเจอที่ชั้นหนังสือลาทีชา หนังสือปริศนาที่คนของโลกอีกฝั่งมาเจอมันก็จะกลายเป็นหนังสือนิยายโรแมนติก
    ผมปีนออกมาจากถังไม้ และพิจารณาคนที่ยังอยู่ หลายๆคนซูบผอมไปเยอะเหมือนกัน และมีบางคนหายไปคงส่งออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอกและไม่ได้กลับมาสินะ
    ผมคิดพร้อมกับกินขนมปังในมือจนหมด
    ออกไปสำรวจข้างนอกสักหน่อยดีกว่า
    ผมคิดได้ก็เดินไปที่ประตูเหล็กอันหนักอึ้งกว่าจะเปิดได้ก็เล่นเอาเสียเหงื่อไปเยอะเลย  และเมื่ออกมาก็พบกับภาพความพินาศของหมู่บ้าน บ้านต่างๆไม่มีเหลือเค้าเดิมอีกต่อไป ทั้งถูกไฟไหม้ บางบ้านก็ถล่มลงมา
    ผมมองหน้าใจหายนั่นก่อนและเปิดประตูเหล็กนั่นลง ผมดีดนิ้วอีกครั้ง โลกก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
    จะว่ายังไงดีหล่ะ ทั้งหมู่บ้านไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเลย มีแต่กลิ่นของความตายครุกรุ่นอยู่เท่านั้น ผมเดินเล่นสำรวจทั้งหมู่บ้านก้ไม่พบใครรอดเลยคงเหลือแต่คนในหลุมหลบภัยสินะ
    ผมเดินเข้าบ้านนู่นบ้านนี้และหยิบของที่ยังพอจะกินได้มากินแก้หิว ก่อนที่จะเริ่มทำบางอย่างที่โบสถ์
    เหนื่อยชะมัด ผมคิดและทิ้งตัวลงนอนกับพื้นโบสถ์ เบื้องหน้ามีวงเวทย์มนที่ถูกวาดด้วยเลือดถูกวาดไว้อยู่ และตรงกลางก็มีหนังสือเก่าคร่ำคึอยู่
    ผมหยิบนาฬิกาที่เก็บไว้ออกมาดูก็พบว่ายังเหลืออีก1ชั่วโมง
    ทำอะไรดีหล่ะ?
    ไม่มีคำตอบ ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นเสียงฝัเท้าของม้าก็เคลื่อนตัวเข้ามาที่โบสถ์
    "เจ้าหนูนั่นทำอะไรอยู่น่ะ"
    เสียงที่ตะโกนถามมาทำให้ผมต้องหันไปมอง ดูจากชุดเกราะแล้ว ฝั่งตรงข้ามสินะ
    ชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาหาผมอย่างระแวง ดาบในมือเขาพร้อมที่จะฟันผมได้ทุกเมื่อ อีกนิด อีกนิด อีกนิด
    เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ผมระยะห่างเป็น1เมตร ร่างกายเขาก็พุ่งทะยานไปชนกับหลังคาโบสถ์และร่วงลงมาแน่นิ่งทันที
    ผมมองกระดาษในมือ ผมก้ไม่อยากจะทำอย่างงี้หรอกนะ แต่ว่ามันต้องทำจริงๆ
    ในมือผมเป็นกระดาษที่ถูกเขียนด้วยรายชื่อของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในหลุมหลบภัย ซึ่งก็มีชื่อคนนอกปนมาด้วย
    ครบแล้ว
    ผมมองเวลาในนาฬิกาและเดินตรงไปที่หลุมหลบภัย  ผมเคาะด้วยสัญญานเคาะ ซึ่งก็คือ เคาะแรง 2ที เว้น1วินาที และเคาะเบาอีก1ที
    ประตูก็ถูกเปิดออก
    "อ้าวลินเธอไปอยู่ข้างนอกได้ยังไง"
    บาทหลวงวอลมิคเป็นคนโผล่หน้าออกมา ดีมาก ผมต้องการให้เขาออกมามากที่สุด
    "พอดีตอนกำลังหนีผมไปอยู่กับอีกกลุ่มน่ะครับ เอาเป็นว่าเข้าไปคุยข้างในก่อนดีกว่า"
    "อ่องี้นี่เอง"
    "แล้วคนอื่นหล่ะ"
    "ทางเมืองหลวงส่งคนมาช่วยอพยพแล้วครับ"
    "งั้นเหรอ"
    เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก  ผมโกหก ทุกคนตายหมดแล้ว
    "แล้วเธอยังไม่ไปเหรอ"
    "พอดีรถไม่พอน่ะครับ อีกครึ่งชั่วโมงเขาจะมารับอีกชุดนึง นี่รายชื่อครับ"
    ผมส่งกระดาษให้ ซึ่งแผ่นนั้นก็มีตราประทับของกองอัศวินด้วย  หลังจากนั้นเขาจึงประกาศเรียกคนที่มีรายชื่อ ซึ่งทุกคนในนี้มีรายชื่อหมดเพราะผมลิสไว้หมดแล้ว
    ที่เหลือก็พาทุกคนไปที่โบสถ์
    เนื่องจากหลุมนี่เป็นหลุมที่อยู่ใกล้กับโบสถ์จึงไม่มีปัญหาว่าจะมีคนออกจากกลุ่ม และก็คงไม่มีใครออกไปแน่นอนเพราะนี่เป็นคำสั่งจากกองอัศวินว่าให้มารวมตัว ซึ่งก็เหลืออีก10นาทีเท่านั้นถ้ากลับมาไม่ทันก็ไม่ทันเลย
    "ไหนหล่ะคนของเมืองหลวง"
    บาทหลวงวอลมิค กล่าวถามผมเมื่อเข้ามาในโบสถ์ซึ่งก็ไม่พบใครเลย  และก่อนที่ทุกคนจะได้เห็นวงเวทย์เลือดนั่น ทุกคนก็ถูกพลังบางอย่างผลักเข้าไปหามันและหายไปในอากาศอันว่างเปล่า  หนังสือลอยกลับเข้ามาในมือผม และแสงสว่างก็ส่องจ้าเสียจนผมต้องหลับตา
    "ริน ใช่รินใช่มั้ย"
    เสียงใสๆอันแสนไพเราะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
    "ใช่"
    ผมกล่าวตอบและลืมตาขึ้น เบื้องหน้าผมผมเป็นใบหน้าของลาทีชา และก่อนที่ผมจะทันทำอะไร ผมก็ถูกเธอโผเข้ามากอดจนเซล้มลงไปกับพื้น
    "คนบ้า รู้มั้ยว่าหลังจากตอนนั้นเรารู้สึกยังไง"
    เธอว่าผมทั้งน้ำตา
    "ขอโทษ"
    "ไม่ให้อภัย"
    "ถ้าไม่ให้อภัยงั้นก็ต้องขอตามง้อทั้งชีวิตแล้วหล่ะ"
    "อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้"
    เธอพูดและผละออกจากผม ตอนนี้เธอยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าที่ผ่านมา
    "เอ่อ ใครก็ได้ช่วยอธิบายว่าที่นี่ที่ไหนแล้วเกิดอะไรขึ้น"
    ใครสักคนเอ่ยขึ้น และเมื่อนั้นก็ทำให้ลาทีชารู้ว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผม เธอรีบลุกออกจากตัวผม ด้วยใบหน้าอันแดงฉานจากความอาย
    ผมบอกให้ทุนคนใจเย็นๆและเรียกบาทหลวงวอลมิคมาคุยเป็นการส่วนตัว
    "นี่มันหมายความว่ายังไงลิน"
    "คืองี้ผมอธิบายให้ฟังนะ ที่นี่ไม่ใช่โลกของเรา และที่นี่ทุกคนสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกลัวศึกสงคราม"
    "เธอว่าอะไรนะ"
    ผมย้ำให้เขาฟังอีกครั้ง และสาธิตให้ด้วยการเสกลูกไฟขึ้นมาจากอากาศ
    "เธอทำได้อย่างไร"
    "ไม่ใช่ประเด็นครับ บาทหลวงช่วยไปคุยกับทุกคนหน่อยว่า..
    หลังจากนั้นผมก็พูดบทให้เขาฟัง ซึ่งเขาก็รับปากที่จะทำตามเป็นอย่างดี
    "แล้วเธอมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องกลัวสงคราม"
    "พูดไปอาจจะไม่เชื่อผมอยู่มาแล้ว1อาทิตย์"
    "ฉันเชื่อ"
    บาทหลวงวอลมิคพูดสั้นๆและเดินจากไปพูดคุยกับคนอื่นแทนผม ที่ผมให้เขาไปคุยแทนเพราะเขาคือผู้นำชุมชน จึงทำให้คุยกับทุกคนง่ายขึ้น และทุกคนก็ยอมให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
    ผมมองภาพที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารฝีมือของคาเนเลียกัน ส่วนตัวผมก็กำลังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ของต้นไม้ต้นเดียวกับวันนั้น
    "ทำไมไม่ไปกินกับคนอื่นเหรอ"
    "ไม่หิว"
    ผมตอบลาทีชาที่เดินเข้ามาหา
    "นี่รินทำไมไม่บอกเราเรื่องที่แอบฝึกเวทย์เหรอ ทั้งๆที่ตัวเองก็บอกให้พ่อแม่เรารู้ รู้มั้ยว่าเราไม่พอใจนะ"
    ผมไม่รู้จะตอบเธอยังไงดีเพราะตอนนั้นผมก็กะไม่ให้ใครรู้เหมือนกัน แต่ดันถูกจับได้ซะก่อน ซึ่งมันก็คือคืนวันที่3  ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมคิดผิด เพราะคาเนเลียกับเอ็ดเวิร์ดให้การช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี รวมทั้งการถอดเล็บผมด้วย
    อ้อ เล็บที่ว่าก็ สิ่งที่ผมบอกกับลาทีชาก่อนกลับซึ่งวันนั้นผมบอกกับเธอว่า
    "หลังจากฉันกลับไปแล้ว ให้ไปเอากล่องที่อยู่บนชั้นหนังสือมาให้พ่อแม่เธอ"
    ผมบอกไปอย่างนั้น ซึ่งผมก็บอกกับเอ็ดเวิร์ดกับคาเนเลียให้ช่วยอธิบายให้ฟังแล้วเช่นกัน
    "ช่างมันเถอะรินก็มีเหตุผลที่บอกไม่ได้ใช่มั้ย"
    ผมพยักหน้าตอบ ที่เธอยอมเข้าใจ
    "ว่าก็ว่าเถอะ ตัวเองบอกเองแท้ๆว่าเราไม่เหมาะกับน้ำตา "
    "ขอโทษ"
    "บอกแล้วไงว่าไม่ยกโทษให้"
    "แล้วอย่างงี้หล่ะ"
    ผมถามและเข้าจูบเธอ ตอนแรกลาทีชามีท่าทีตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ขัดขืนอะไร
    อะแฮ่ม
    เสียงกระแอมของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้น เราสองคนรีบผละออกจากกันทันที
    "ลาทีชา พ่อไม่ว่าอะไรหรอกนะเพราะลูกถึงวัยที่จะมีความรักแล้ว"
    เขาพูดกับลูกสาวเขาและหันมามองผมบ้าง โดนเชือดแหง
    "รินก็อีกคน มีเรื่องอะไรไม่ปรึกษาผู้ใหญ่เลย"
    เขาหมายเรื่องที่ผมจะปกปิดที่ผมจะสร้างประตูมิติพาทุกดนมาที่นี่
    "ขอโทษครับ"
    "ช่างมันเถอะดูเหมือนคนจากหมู่บ้านจะมาแล้วนะ"
    เขาชี้ไปที่รถม้าคันหนึ่งกำลังมุ่งตรงเข้ามา
    แต่แล้วสายตาผมก็ไปเห็นชายแก่คนหนึ่งกำลังเดินมาหาผมด้วยความรวดเร็ว บาร์ลนั่นเอง
    ตายแล้วลืมนึกถึงวิธีรีบมือเชาเลย ผมเป็นคนเปิดประตูมิติที่เชื่อมระหว่าง2โลกออกเอง ซึ่งมันเป็นการฝึนธรรมชาติ
    แต่เขากลับหยุดอยู่ที่กลุ่มคนที่ผมพามาด้วย ผมยังไม่เข้าไป เพราะต้องหาวิธีรับมือเขาเสียก่อน
    ผมควรจะหนีไปดีมั้ย? ถ้าหนีจะหนีไปไหนหล่ะ?
    จนเขาคุยเสร็จแล้วผมก็ยังคิดวิธีไม่ออก
    "ขอตัวหล่ะ"
    เดี๋ยวสิคุณเอ็ดเวิร์ด อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้
    "ลิน"
    "ครับ"
    "ทำดีมาก"
    เครื่องหมาย ? ปรากฏขึ้นบนหน้าผมทันทีที่เห็นท่าทีของเขา
    "รู้มั้ยนั่นหนังสือใคร"
    เขาชี้มาที่หนังสือเวทย์ที่ตอนนี้กลายเป็นหนังสือนิยายไปเรียบร้อยแล้ว
    "ของฉันเอง"
    และหนังสือนั่นก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือเขาอย่างนุ่มนวล
    "เธอคิดว่าฉันไม่รู้รึยังไงว่าเธอเอาหนังสือเล่มนี้ข้ามมิติกลับไปด้วย"
    "เอ่อคือว่า . . ."
    "ขอตัวก่อนแล้วกัน งานยุ่งเพราะเด็กคนหนึ่งแท้ๆ"
    เขาบอกและขยี้หัวผมเล่นจากนั้นก็เดินกลับไปทำหน้าที่ถ่ายถอดภาษาของโลกนี้ให้กับคนที่มาใหม่
    เรื่องที่อยู่อาศัยของพวกเขานั้นผมให้เอ็ดเวิร์ดติดต่อทางหมู่บ้านให้แล้ว พวกเขาจะได้ที่อาศัยที่พักชั่วคราวก่อน และ พรุ่งนี้เป็นต้นไปที่จะเริ่มก่อสร้างบ้านหลังใหม่ของพวกเขา
    "นี่ริน"
    "หือ?"
    "คือว่านะ รินจะไปอยู่กับพวกเขามั้ย"
    "อยากให้ไปอยู่ขนาดนั้นเลยเหรอ"
    ผมแกล้งถามไปงั้นแหละ ผมอยากพักอยากบ้านหลังนี้มากกว่า แต่ว่ายังไงก็ต้องถามพ่อแม่ของเธอก่อน
    "ไม่ใช่แบบว่า คือ . . ."
    "ล้อเล่นไม่ไปหรอก"
    ผมบอกพร้อมกับลูบหัวของลาทีชา ก็อยากจะแกล้งต่ออยู่หรอกนะ แต่พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเธอแล้วแกล้งต่อไม่ลงจริงๆ
    "จริงเหรอ"
    "พ่อไม่ให้อยู่ รินต้องไปอยู่บ้านของตัวเอง"
    เสียงของเอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นขัดจังหวะผม ว่าแล้วต้องพูด เรื่องนี้ผมก็คุยกับเอ็ดเวิร์ดกับคาเนเลียไว้แล้ว
    "ระหว่างสร้างบ้านก็พักอยู่ก่อนได้ตกลงนะ"
    "ตกลงครับ"
    "รินก็ไม่แย้งอะไรเลยเหรอ"
    ลาทีชาจับตัวผมเขย่าไปมาพร้อมกับพูดน้ำเสียงอันร้อนรน
    "อ้าวทำไมหล่ะ"
    "ก็ถ้ารินไปอยู่บ้านตัวเองแล้วเราก็ไม่ได้อยู่กับรินแล้วน่ะสิ"
    ผู้หญิงคนนี้ ซื่ออะไรขนาดนี้เนี่ย อุ๊บ ผมเผลอยิ้มซะแล้วสิ ช่วยไม่ได้นี่นา
    "นี่ลาทีชาแล้วทำไมเธอถึงไม่มาอยู่ด้วยกันหล่ะ?"
    เมื่อได้ยินเธอก็ทำหน้าตกใจขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้ว่ามีวิธีนี้อยู่
    "นั่นสินะเราลืมนึกไปเลย อยู่บ้านเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน . . ."
    ลาทีชาพูดออกมาด้วยท่าทีอันเขินอาย และ ใบหน้าเธอตอนนี้กำลังแดงระเรื่อ ผมอยากจะเก็บภาพ ณ ตอนนี้ไว้ตลอดกาลจริงๆ ให้ตายเถอะ
    "อะแฮ่ม"
    เสียงกระแอมของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นมาอย่างขัดบรรยากาศ ผมลืมไปว่า ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับลาทีชา
    "ก็ไม่ว่าหรอกนะถ้าลาทีชาจะไปอยู่ด้วย"
    เขาพูดเสร็จก็เหลือบมองผมหน่อยนึง
    "ฝากลาทีชาด้วยนะ"
    เขาพูดเสร็จก็ตบไหล่ผมเบาๆ ดังป๊าบ ป๊าบ  และทำท่าจะเดินกลับไปยังตัวบ้าน แต่ก็หยุดเดินเหมือนจะลืมอะไรสักอย่าง
    "คืนนี้รีบนอนหล่ะ พรุ่งนี้จะปลุกไปช่วยงานแต่เช้า"

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

[Index]Project N 01

Episode 001

[Project N] N1 Ep 001

    กลับดอกไม้สีขาวโปรยปรายลงมาดุจสยาฝนไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นต้นอะไร ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ไม่มีลักษณะตรงกับต้นไม้ในตำราใดๆเลย อาจจะพูดว่ามันเป็นต้นไม้สายพันธุ์ใหม่ก็ได้ แต่ว่า บุตรของต้นไม้นี้ต่างก็เป็นต้นไม้ปกติทั้งสิ้น มันอยู่คู่ตรงเนินดินแห่งนี้มานานมาก
    สำคัญกว่านั้น ตอนนี้ในคืนเดือนเพ็ญมีคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นแห่งนี้ เขาใส่เสื้อคลุมสีดำมีฮู๊ดปกปิดตัวตน เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างๆกันมีสุนัขป่าตัวหนึ่งกำลังนอนขดอยู่ ขนาดตัวของมันนั้นจัดได้ว่าใหญ่โตมากเลยทีเดียว ขนาดของมันน่าจะพอๆกับม้าหนึ่งตัวได้เลย
    เสียงดับซวบ ซวบ ซวบ ดังมาจากพงไม้ข้างๆ เขาแค่หันไปมองมัน แล้วก็หันกลับมามองข้างหน้าเหมือนเดิม สิ่งที่อยู่ในพงไม้ไม่ใช่คนแต่อย่างใด แต่เป็นกระต่ายป่าที่โดดมาออกจากในพงหญ้านั้น แล้วก็หายกลับเข้าไป
    เขายืนอยู่สักพักก็ชูมือขึ้นมา ในมือของงเขามีลุกธนูที่เขาใช้สองนิ้วคีบไว้ ซึ่งวีถีของมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนยิงออกมานั้นจงใจเล็งมันไปยังหัวของเขา
    สักพักก็มีคนคนที่เดินออกมาจากทางที่ลูกศรถูกยิงมาเป็นหญิงสาวผมยาวสีดำขลับ ที่ด้านหลังมีหน้าไม้พับเก็บไว้
    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มิว"
    เขาพูดทักทายหญิงสาว เธอส่งรอยยิ้มที่งดงามและเหย่อหยิ่งดุจนางพญาก่อนที่จะพูดว่า
    "ก็ข้าไม่ใช่บุคคลว่างงงานอย่างเจ้านี่ ไวส์"
    ชายคนนั้นหัวเราะหึๆๆๆก่อนที่จะเปิดฮู๊ดที่ปิดบังใบหน้าตนออก เขาเป็นชายหนุ่มผู้มีโฉมหน้างดงามดุจเทพนิยาย ผมสีขาวที่สยายออกมาเมื่อเขาดึงฮู๊ดออก
    "ถ้าข้าว่าเป็นบุคคลว่างงาน ถ้างั้นในแผ่นดินนี้ก็ไม่มีใครมีงานทำแล้วหล่ะ"
    "แล้วที่เรียกข้ามาวันนี้มีอะไรงั้นเหรอ มิว ไม่ใช่เพราะเจ้าแค่คิดถึงข้าหรอกนะ "
    ไวส์ถามกลับ หญิงสาวป้องปากหัวเราะคิกคักฟังดูน่ารักดี ผิดกับรอยยิ้มเมื่อครู่
    "คิดถึง อย่าพูดให้ข้าขำหน่อยไวส์"
    เธอว่าก็จะทำสีหน้าจริงจัง
    "ตอนนี้เจ้าน่าจะได้ข่าวมาบ้างแล้วนะว่าเมืองทางใต้ตอนนี้กำลังเกิดสงครามกันอยู่"
    "แน่นอน คิวงานยาวเป็นหางว่าวเลยเนี่ย ถ้าไม่ใช่เจ้าหล่ะก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะมา"
    "แหมน่าดีใจจังเลยเนี่ย"
    มิวแสร้งทำท่าทีขวยเขิน แต่สายตาอันคมกริบของเธอยังคงจ้องมองมาไม่เปลี่ยนแปลง
    "ข้าอยากวานเจ้าไปช่วยจัดการคนตามรายชื่อนี้สักหน่อย"
    เธอส่งปลายไม้แกะสลักซึ่งเธอได้รับมาจากคนๆหนึ่ง
    "เห ตัวท๊อปเลยนะเนี่ย'
    ไวส์พูดขึ้นด้วยความสนใจเขาหลีกเลี่ยงที่จะฆ่าโดยเปล่าประโยนช์มาตลอด  ไม่ใช่เพราะมันไม่ได้เงิน แต่เพราะว่ามันเสียเวลาต่างหากหล่ะ และชื่อที่เขาได้มานั้นก็เป็นเป้าหมายที่เขาอยากจะฆ่ามานานแล้วแต่ว่ามันไม่เสียเวลาเปล่าๆ
    "สนใจใช่มั้ย เอานี่เงินค่าจ้างล่วงหน้าอยากได้เท่าไหร่บอกมาเสร็จงานแล้วกลับมารับที่ข้าที่เหลือ นายจ้างรอบนี้จ่ายไม่อั้น"
    เธอส่งทองคำที่พกติดตัวมาให้2แท่งใหญ่ๆ ไวส์รับมันมาและโยนไปมา ก่อนที่จะยิ้มอย่างพอใจ
    "ทองคำ100แท่ง ให้เธอ20แท่ง ตกลง?"
    ไวส์ถามพร้อมกับเลิกขึ้น
    "ตกลง อย่าทำให้ข้าผิดหวังหล่ะ พ่อมดแห่งรัตติกาล"
    เธอส่งยิ้มให้กับไวส์ และไม่นานร่างกายเขาก็จางหายไปกับอากาศ เขาไปแล้ว มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายอย่างรวดเร็วเสียด้วย ส่วนหมาป่าคู่ใจของเขายังคงนอนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เดี๋ยวสักพักมันคงตื่นและตามเจ้าของมันไปน่ะแหละ
    มิวยืนมองจันทร์อยู่พักนึงก็ตัดสินใจกลับที่พักเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย ระหว่างทางเธอต้องผ่านป่าไผ่ก็พบว่าตนได้ถูกล้อมด้วยชายฉกรรณ์นับสิบที่ท่าทางหื่นกระหาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ เธอถูกล้อมมานานแล้ว แต่ว่ามันยังไม่ได้จังหวะปรากฏตัวมั้งก็เลยยังไม่ยอมโผล่หางกันออกมา
    ชายที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวโจกก็เดินเข้ามาหาเธอและลวนลามทางสายตาเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
    "น้องสาวมาทำอะไรคนเดียวในป่ามืดๆค่ำๆจ๊ะ ไม่กลัวโดนโจรฉุดเหรอ"
    มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเหล้าตลบอบอวลไปหมด มิวยังคงยืนนิ่งไม่ตอบสนองใดๆ
    "นี่น้องสาวเป้นอะไรรึเปล่าจ๊ะ รึว่าเป็นใบ้หูหนวกเหรอ"
    มันใช้มือหยาบๆจับไหล่ของเธอไว้ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ความอดทนของเธอถึงขีดสุดตามจริง ถ้าเป้นคนปกติคงวิ่งหนีไปนานแล้วหล่ะ เพราะว่าแรงอาฆาตที่เธอแผ่ออกมาขู่นั้นตลบอบอวลไปทั่ว
    "อย่าเอามือสกปรกๆของแกมาจับตัวข้า เจ้าพวกเศษเดน"
    เธอกล่าวพร้อมกับใช้สายตาจิกมองชายคนดังกล่าวที่แสดงสีหน้าตื่นตะหนกอย่างเห็นได้ชัด
    "น้องสาวพูดถึงใครอยู่เหรอ"
    "แถวมีใครอยู่อีกเหรอ นอกจากพวกแก เจ้าพวกเศษเดน"
    เธอกล่าวและมองกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
    "นังนี่ชักจะมากไปแล้วนะ"
    มันกล่าวพร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือด้านๆนั่นมาหมายจะตบหน้าเธอให้หายโกรธ และจัดการธุระให้เสร็จจะได้รีบแยกย้าย ไม่สิ เอาตัวนางนี่ไปขายที่หอนางโลมต่ออีกไม่ก็เอามาเป็นนางบำเรอในกลุ่มก็น่าจะดี
    ก่อนที่ฝ่ามือของมันจะมาถูกใบหน้าของมิวนั้น อยู่ๆร่างกายของมันก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงราวกับว่าถูกบางอย่างกระแทกใส่อย่างรุนแรง มันปลิวไปกระแทกกับกอไผ่ที่อยู่ห่างออกไปจนหักโค่นและแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเห็นว่าชายคนนั้นโดนอะไร อยู่ๆเขาก็ลอยออกไปเสียอย่างนั้น
     ทุกคนในกลุ่มต่างก็พึ่งมีสมองคิดได้กันว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะไปหาเรื่องแล้วจะมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ต่างก็วิ่งกันไม่ห่วงลูกพี่ของตัวเองที่แน่นิ่งอยู่ แต่ว่ามันช้าไปแล้ว ถ้าทุกคนตะหนักถึงอุณหภูมิรอบๆที่อยู่ๆก็เย็นยะเยือกขึ้นมาแล้วหนีไปตอนนั้นก็ยังพอจะมีโอกาศมีชีวิตรอดได้บ้าง
    กลุ่มชายทั้งหมดต่างล้มลงกันอย่างพร้อมเพรียงและสื้นใจตายไปพร้อมๆกัน
    มิวสบัดข้อมือครั้งหนึ่งก่อนที่จะปัดไหล่บริเวณที่ชายคนนั้นจับ แต่ว่ากลิ่นสาบพวกชั้นต่ำกลับติดฝังแน่นกลับเนื้อผ้าที่เธอใส่ ช่างน่าสะอิดสะเอียนเสียจริง เธอคิดอย่างหัวเสีย ดูท่าว่าเสื้อตัวนี้เธอคงได้เผาทิ้งเสียแล้วหล่ะ